Saturday, September 11, 2010

Keywords โดนใจ สไตล์ Clickbank

เดือนพฤษภาคม 2551-- ตอนนั้นผมขาดทุนมาแล้วหลายเดือน หลังจากลองผิดลองถูกมาหลายตัวและหลายวิธีมันก็ยังเหมือนเดิม  คือขาดทุนยับเยิน   ก็พยายามค้นหาในเน็ตนี่แหละว่า มีตรงไหนพอจะให้ความรู้เรื่องการทำ CB บ้าง  มาเจอเว็บบอร์ดนี้เข้า  รู้สึกทึ่งในความรอบรู้ของบรรดาเทพที่มาถ่ายทอดให้รุ่นน้องฟัง  ถ้าอยากทำ CJ หรือ Amazon มาที่นี่แต่ตัวกับหัวใจ  เดินออกไปด้วยความรู้เต็มเปี่ยม ทำมาหากินได้เลย  แต่ทว่าข้อมูล Clickbank มีน้อยยิ่งนัก  ยังไม่พอเพียงที่จะช่วยผมแก้ปัญหาการขาดทุนได้  เลยต้องย่องเข้าไปดูเว็บบอร์ดฝรั่ง  สมัครเข้าเป็นสมาชิกหลายบอร์ด  เข้าไปโพสข้อความในแหล่งที่เซียนฝรั่งเขามาสุมหัวกันอยู่   คนไหนท่าทางใจดีผมก็เมลไปถามเขาตรงๆเลยว่า ?เฮีย ถ้าผมจะขายตัวนี้จะใช้วิธีไหนดี ?  คนเก่งและรู้จริงเขามักจะไม่หวงวิชา ส่วนใหญ่จะตอบมาเลยว่า ?รอเดี๋ยวไอ้น้อง  เดี๋ยวเฮียสอนให้? 
 สะสมสูตรเด็ดเคล็ดลับของเซียนฝรั่งเขามาเรื่อยๆ   จนกระทั่งจากที่ขายไม่ได้มันก็เริ่มขายได้ขึ้นมา    จากที่เคยสนใจแต่ตลาดอเมริกา  คิดแต่จะเอาเงินจากคนอเมริกัน ก็ได้เรียนรู้ว่าพ่อค้าที่ดีต้องไม่รังเกียจเงินไม่ว่าจะมาจากมุมไหนของโลก  ตอนนี้ผมได้ลูกค้าจากทุกที่  บางประเทศผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยว่ามีตัวตนในโลก  

หลังจาก KeywordSpy แล้วไปไหนต่อ?
ก่อนจะมาใช้ KeywordSpy ผมใช้มาหลายตัวแล้ว  ClickAdEqualizer  ล่าช้าและเชือนแชมาก ต้องต่อ Proxy Server ตลอด ขนาดต่อพร็อกซี่แล้วก็ยังติดบ้างไม่ติดบ้าง   ลองดู KeywordElite อีก หลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นอย่างที่โม้ไว้   ย้ายมา SeoDigger-WordTracker-Spyfu   มาลงท้ายที่ KeywordSpy ซึ่งผมชอบมากเพราะมันใช้ฟรีนั่นเอง และข้อมูลที่ได้ก็ค่อนข้างชัดเจน  ไม่ต้องตีความกันนาน  และมันSearch ได้หมดไม่ว่าเราจะใช้อะไรเป็นตัวหลัก URL-Keyword-Affiliate Id เรารู้ทันทีว่าใครทำอะไรที่ไหน อย่างไร  ใส่ URL ลงไป แล้วดูที่ Overview เราก็เห็นแล้วว่าวงเงินที่เขาใช้โฆษณากันอยู่วันละเท่าไหร่   ถ้ามันไหลลงแสดงว่ากำลังเสื่อมความนิยม  ถ้าไหลขึ้นก็กำลังมาแรง เช็คได้หมดทุกเว็บดังๆที่ผ่านAdwords
        แต่ Keyword Tool พวกนี้ไม่มีตัวไหนสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์  แม้แต่ KeywordSpy  เหตุเพราะ
       1) เขาจับมาได้เฉพาะผู้ที่ใช้วิธี Direct Link กับ Adwords   แต่ผู้ขาย Clickbank ส่วนใหญ่เกือบเก้าในสิบใช้ Landing Page --Article Marketing  --และวิธี  Redirect 
     2) บางคนใช้วิธี Cloaking URL ทำให้ไม่สามารถดักจับได้
      3) บางคนใช้หลายนิกเนม เพื่อป้องกันการถูกล้วงข้อมูล
      อย่างไรก็ถาม ข้อมูลที่ได้มาแม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็ทำให้เราพอจะเดาได้ว่าตัวไหนควรจับ ตัวไหนควรปล่อย   ผมมองเห็นข้อมูลใน KeywordSpy ครั้งแรกต้องนั่งอึ้งเลย เพราะตัวที่เราพยายามโปรโมทมาทุกตัวมันไม่อยู่ในสายตาของพวก Super affiliates เลย  มันไปคนละทิศละทางอย่างสิ้นเชิง

จะทำอย่างไรต่อกับข้อมูลเหล่านี้?
จะสังเกตุว่า Keywords ของ Super affiliates ที่ปรากฏให้เราเห็น มีแต่คีย์เวิร์ดสั้นๆซึ่งราคาแพงมาก  ที่จริงเขาใช้ทั้งแบบสั้นและแบบยาว  แต่เพราะเราดูได้แค่ยี่สิบรายการจึงเห็นเฉพาะคำสั้นๆ  ถ้าดูฉบับเสียตังค์ก็จะเห็นหมดว่าเขาใช้กี่พันกี่หมื่นคำ  แต่เราก็พอจะเอามาเป็นแนวได้ว่าเราจะต่อหัวต่อหางคำเหล่านี้ต่อไปอย่างไรดี
    สินค้าamazon พอได้คำหลักคือ ยี่ห้อ กับ รุ่น พอใส่ cheap, buy, sale, low price, best price, best buy ปะหน้าปะหลัง แล้วปล่อยให้มันกระโดดขึ้นเว็บวันสองวัน  ไม่ช้าไม่นานสตางค์ก็เคาะประตูเรียกหาถึงหน้าบ้านกันแล้ว    แต่สูตรนี้เอามาใช้กับคลิกแบ๊งไม่ได้  เพราะส่วนใหญ่มันเป็นสินค้าข้อมูล  สินค้าพวกนี้ต้องใช้เวลากลั่นกรองกันนานก่อนการตัดสินใจ  เขาไม่ได้เข้าเว็บเพื่อเสียเงิน  เขาต้องการข้อมูลที่ไม่เสียเงินต่างหาก แต่เมื่อมันหาไม่ได้จริงๆ เขาถึงยอมเสียเงิน ก่อนเสียเงินเขาก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ $37 เพื่อซื้อ ebook ไม่กี่หน้ามันคุ้มกันหรือไม่
    คนที่ search ด้วยคำว่า "Garmin Nuvi 760?  เขากำลังค้นข้อมูลเพื่อหาเรื่องเสียตังค์แน่นอน พอเจอราคาใน Amazon ดีกว่าที่อื่น เขาก็จ่ายเงินแล้วรอรับสินค้า มันง่ายๆตรงไปตรงมาแค่นี้
    แต่ว่าคนที่ search ที่ Google ว่า ?I want to lose my belly fat " เขาไม่ต้องการเข้ามาในเน็ตเพื่อซื้อ โปรแกรมลดความอ้วนอันใดอันหนึ่ง  ไม่ใช่เลย  เขามาเพื่อหาข้อมูลฟรี  แต่เมื่อหาแล้วข้อมูลไม่พอ  หรือหาไม่เจอ นั่นแหละ เขาถึงจะยอมควักเงิน เพราะมันจำเป็นจริงๆ  เธออาจจะเป็นเจ้าสาวที่กำลังเข้าพิธีวิวาห์ ต้องการลดความอ้วนด่วนเพื่อจะได้ใส่ชุดสวยๆได้  เขาอาจเป็นชายหนุ่มรูปร่างท้วมที่กำลังจะไปสมัครงาน ต้องการลดความอ้วนเป็นการด่วน เพื่อให้ดูดีในสายตานายจ้าง  แต่ถ้าไม่เร่งด่วน เรื่องจ่ายเงินคงไม่จำเป็นและยังรอได้   ถ้าเข้าใจตรงนี้  โอกาสขายได้ก็ง่ายขึ้น
       จะเห็นว่า เจ้าของเว็บเขาจะเตรียม Keywords มาให้เรามาก
มาย มากเกินความจำเป็น  บางเจ้าทำไฟล์ Excel มาให้เสร็จ 5000 คำ เพื่อให้เราไปโปรโมทสินค้าของเขา  เขามีแต่ได้กับได้ เพราะ eBook ขายสักกี่เล่มก็ต้นทุนเท่าเดิม แต่คนที่เสี่ยงคือเราที่ต้องเอาเงินเอาทองไปเสี่ยงเพื่อขายสินค้าให้เขา ฉะนั้นอย่าไปหลงกลเขาเด็ดขาด เขามักจะใช้ถ้อยคำเชิญชวนให้โปรโมทสินค้าว่า Converting like crazy ขายดีเป็นบ้าเป็นหลัง  บางทีก็ 1 in 6 Conversion Rate  ซึ่งโม้เกินจริงทั้งสิ้น  อัตรา Conversion เฉลี่ยของ Clickbank 
อยู่ที่ 2% บางเจ้าอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้  แต่ไม่มากนัก  1% ถือเป็นเรื่องปรกติมาก แต่
1 ใน 6 เกิดขึ้นได้ยาก  เว้นแต่ว่าคุณมีเทคนิคการขายที่เหนือชั้นกว่าคนอื่นด้วยการกระตุ้นต่อมอยากซื้อให้เกิดขึ้นในจิตคน  เขาอาจไม่อยากซื้อ ไม่อยากเสียตังค์  แต่พอเห็นแถมเยอะๆเกิดอยากได้ของแถม  กี่ครั้งกี่หนที่เราเดินเข้าห้างแล้วซื้อสินค้าเพราะสะดุดตากับของแถมมากกว่าตัวสินค้าจริงๆ  ฉันใดก็ฉันเพล 
ดังที่ผมยกตัวอย่างการขายคู่มือรักษาริดสีดวงโดยวิธีธรรมชาติ  ขายด้วยวิธีปรกติธรรมดาขายไม่ค่อยออก คนป่วยเป็นริดสีดวงดูแล้วก็ผ่านไป ค้นหาข้อมูลฟรีต่อไปดีกว่า  เดี๋ยวก็คงเจอ  พอบอกว่า แถมคู่มือการทำอาหารมังสวิรัติ คู่มือการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงวัย  คู่มือบำบัดการนอนไม่หลับ คู่มือจิปาถะเข้าไปอีกเบ็ดเสร็จเจ็ดเล่ม  ออร์เดอร์มาทันที
การกระตุ้นต่อมอยากซื้อด้วยวิธีแจก แถม รีเบต นั้นก็วิธีหนึ่ง  อีกวิธีหนึ่งคือกรองเอา Keywords ที่ไม่มีปุ่มอยากซื้อแบบปัจจุบันทันด่วนออกให้หมด   
สมมุติการขายโปรแกรมลดความอ้วนอีกครั้ง  เพราะนี่คือสินค้ายอดนิยม ขวัญใจแม่ยกตลอดกาล  สินค้าอื่นมาแล้วก้ไป แต่ขวัญใจแม่ยกอยู่ตลอด เพราะคนตะวันตกโดยเฉพาะคนอเมริกันมีปัญญาเรื่องน้ำหนักตัวเสียหนึ่งในสองคน เอาก้อนหินขว้างไปตรงไหนก็โดนคนอ้วนทั้งนั้น  สินค้านี้มีตลาดกว้าง  แต่ไม่ใช่ว่าขายง่าย เพราะมันไม่ได้มีเฉพาะคลิกแบ๊ง  CJ ?Amazon-Linkshare-Shareasale-paydotcom-maxbounty เขาก็มีสินค้าที่เกี่ยวกับคนอ้วนมานำเสนอทั้งนั้น  ทำอย่างไรจะให้เขาเลือกของเรา
เวลาทำ Amazon ต้องท่องกริยาสามช่อง Browse-Compare-Buy   แล้วพยายามเลือก Keyword ที่อยู่ในกริยาช่องที่สามให้มากที่สุด  แต่ของ Clickbank ส่วนมากจะเป็น Browse-Compare แล้วก็ Bye-Bye  ไม่พบไม่เจอกันอีกชั่วชีวิต 
ทำอย่างไรถึงจะให้เขาไม่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป  นอกจากการแจกการแถมแล้ว  พิจารณาตรงนี้ครับ
1) กลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อหรือเปล่า  ถ้าคุณใช้คำว่า lose belly fat คำว่า belly แปลว่าพุง แต่มันเป็นคำที่วัยรุ่นใช้กัน  ถ้าคุณใช้คำนี้แสดงว่าการขายของคุณพุ่งเป้าไปที่วัยรุ่น ซึ่งเขาอาจจะอยากซื้อโปรแกรมลดความอ้วนของคุณ  แต่เขาไม่มีกำลังซื้อครับ เขายังไม่มีบัตรเครดิต  ดังนั้นคำนี้ต้องตัดออกไป คุณต้องการผู้ใหญ่ที่มีกำลังซื้อ ต้องใช้ keyword แบบผู้ใหญ่ เช่น weight control management หรือ how to control my weight  -- how to flatten my stomach   คำวัยรุ่นนั้นคลิกกันระเบิดเถิดเทิงครับ คลิกกันจนผมแทบหมดเนื้อหมดตัวมาแล้ว เขาคลิกเพราะเขาสนใจ เขาอยากซื้อ อยากหล่อ อยากสวย อยากเป็นนักกล้าม แต่เขาไม่มีตังค์ครับ  ถ้าจะขายอะไรก็ถามตัวเองก่อนว่า กลุ่มเป้าหมายคือใคร เขามีกำลังซื้อหรือไม่
ถ้าคีย์เวิร์ดที่ใช้อยู่ในกลุ่มคนที่ไม่มีกำลังซื้อ กรองออกให้หมด ถ้าจะขายผู้ใหญ่ ต้องหาคีย์เวิร์ดที่เป็นผู้ใหญ่ ศัพท์วัยรุ่น ภาษาสะแลงต้องงด
2) มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่   ถ้าเร่งด่วนมากโอกาสขายก็มีมาก เช่น
-- how to lose 3 pounds in 7 days
--how do I get back with my ex in 2 weeks
--how to find a job in 30 days 
--how do I fix my xBox now
          เงื่อนไขแห่งกาลเวลาที่เขาระบุเข้ามาในช่อง Search แสดงว่าเขามีความจำเป็นต้องแก้ปัญหาของเขาอย่างเร่งด่วน ลองนึกเป็นภาษาไทยง่ายๆ  คนหนึ่งใช้คำว่า ?ริดสีดวง?  อีกคนใช้คำว่า ?วิธีบำบัดริดสีดวงโดยวิธีธรรมชาติภายใน 30 วัน? คุณขายeBook เกี่ยวกับริดสีดวง คุณมีโอกาสขายได้กับลูกค้าหมายเลขหนึ่งหรือหมายเลขสอง  คนที่ระบุเงื่อนไขแห่งกาลเวลาเข้ามาด้วย ไม่ว่า Now-Today-7 days -3 days-one month-2 weeks -30 days เขามีความจำเป็นเร่งด่วนและมีความพร้อมจะซื้อมากกว่าคีย์เวิร์ดที่ลอยเคว้งคว้างโดยไม่ระบุเวลา
เอาสองข้อนี้ไปขบคิดให้ดีๆ  แล้วคุณอาจจะเริ่มมองออกเล็กน้อยแล้วว่า ทำไมบางคนมีแต่คลิกแล้วขายไม่ได้  บางคนมันขายเอาขายเอา
มีเวลาจะมาโพสใหม่ พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ
ท่านที่ต้องการเข้าเว็บบอร์ดฝรั่งขาประจำของผม ไปตรงนี้ครับ  www.clickbanksuccessforum.com/forum
เทคนิคทั้งหมดผมล้วงมาจากบรรดาเทพแห่งเว็บนี้ทั้งสิ้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม


ที่มา : มือใหม่ อยากลอง clickbank

Quality Score กับ LP ของ Clickbank

ผมใฃ้ LP เขียนรีวิวใหม่ ใส่กราฟฟิกใหม่ ให้มันดูเท่ๆหน่อย 




คุณsupersonic ครับหรือเพื่อนๆทุกคนที่รู้ครับ รบกวนทีครับ ปกติคุณsupersonicหรือเพื่อนๆ จะใช้ LP ใช่ไหมครับ เพราะสินค้าที่มองข้ามส่วนใหญ่ จากประสบการณ์ของผมน่ะครับ พอนำwebsiteของทางเจ้าของสินค้ามาโปรโมทเลย คะแนนคุณภาพมันมักจะต่ำมากๆทั้งที่ kwมันก็สัมพันธ์กับกับadsและกับwebsite คะแนนอยู่ที่3,4เต็ม10 มันทำให้เราต้องบิดสูงมากๆครับ ...แต่ถ้าเป็นพวกqravity สูง มักจะไม่เป็นครับ ...ไม่รู้ว่าเป็นเหมือนผมป่าวครับ ขอบคุณครับ

 
เว็บพวกนี้ Quality Score ต่ำแน่นอน  เพราะยังไม่ดัง มี Back Links น้อยมาก วิธีแก้คือสร้างลิ๊งค์ไปยังเว็บดังๆตรงด้านล่างเว็บของเราหลายสิบเว็บ เช่น ผมขายเว็บพ่อมด โปรโมทอันนี้เป็นหลัก แต่ด้านล่างทำลิ๊งค์ไปยังหน้า Amazon ที่ขายหนังสือ Harry Potter-- เว็บส่วนตัวของ J.K.Rowling--และอีกมากมายหลายเว็บที่ดังระเบิดอยู่แล้วเท่าที่จะ search มาได้และเนื้อหาเกี่ยวโยงกัน  แต่เราไม่ต้องการให้คนดูคลิกตรงนี้ เราเอามาเสริมบารมีเท่านั้น ต้องทำสีของตัวอักษรที่เป็นลิ๊งค์ให้กลมกลืนไปกับหน้าเว็บเพจ เช่นพื้นสีเทา ตัวอักษรก็เทา คนดูมองไม่เห็น แต่ bot จะมองเห็น และเพิ่มคุณค่าให้กับหน้าเว็บของเราโดยอัตโนมัติ อันนี้ผมเรียนรู้มาจากเว็บบอร์ดของฝรั่ง  มันเคยใช้ได้ผลทำให้ Quality Score ดีขึ้นมากๆ  แต่ปัจจุบันนี้จะยังใช้ได้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ไม่ได้ทำนานแล้ว เพราะตอนนี้ผมมุ่งไปทาง SEO เป็นหลัีก Google มักจะไล่ทันลูกเล่นของเว็บมาสเตอร์ และอบรม bot ของเขาให้ฉลาดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันอาจจะหมดความขลังไปแล้วก็ได้  แต่เมือปีก่อนตอนที่ผมยังทำอยู่ได้ผลชงัดมาก  มันมีเทคนิคอีกมากมายหลายอย่างที่เซียนฝรั่งเขาทำกัน แต่พวกเรายังไม่ค่อยรู้ ที่ผมเอามาเล่าให้ฟังในกระทู้นี้ไม่ได้คิดขึ้นเอง ล้วงความลับมาจากเว็บบอร์ดฝรั่งทั้งสิ้น  ไม่ว่าการแจก- การแถม -การทำ Rebate- การใช้ KeywordSpy  เขาเริ่มต้นมาก่อนเรา เขาจึงสะสม Knowhow ทางนี้ไว้มากกว่าเรา มากจนผมคาดไม่ถึง  ถ้ายังสนใจยังมีเนื้อหาจะถ่ายทอดให้ฟังอีกหลายตอน


ที่มา : มือใหม่ อยากลอง clickbank

การหาสินค้า ClickBank

ขอเพิ่มอีกนิดหนึ่งเรื่องการหาสินค้า

ไม่ว่าจะทำ Amazon หรือ Clickbank คำถามแรกที่เรามักจะถามตัวเองคือ "จะขายอะไรดี" มันมีสองแนวทางคือ ไปตามกระแส เลือกสินค้าที่อยู่อันดับต้นๆ ของแต่ละ category แล้วเข้าำไปบิดสู้กับเขา ซึ่งส่วนมากมักจะเจ็บตัวกลับมา เพราะเจ้าที่เขาไม่ยอมให้สอดแทรกเข้าไปง่ายๆ
อีกวิธีคือหาสินค้าที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ซุกซ่อนอยู่ตามซอกตามหลืบ ขาดคนเหลียวแล ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ Harry Potter ยังแรงอยู่ ผมสงสัยว่ามันจะมีเว็บไซท์เกี่ยวกับพ่อมดหมอผีหรือเปล่า ลอง Search เข้าไปดู จ๊ะเอ๋เข้าเว็บหนึ่งอยู่อันดับที่ร้อยกว่า มันเป็นที่รวบรวมเรื่องราวของพ่อมด ไสยเวทย์ มนต์ดำ แต่ gravity มันแค่ 1 เรียกว่าไม่มีใครสนใจจะโปรโมทเลย ผมเลยลองทำดู พบว่าแทบไม่มีคู่แข่งเลย โฆษณาของ Adwords มีอยู่สามอัน ผมจ่ายคลิกละ 0.03 อยู่อันดับสาม ทุกหนึ่งเหรียญที่จ่ายไปได้กลับมาสิบห้าเหรียญ อิ่มหมีพีมันไปพักหนึ่ง ตอนนี้ Harry Potter ไม่ค่อยดังแล้ว และ gravity มันขึ้นไปถึง 15 คู่แข่งมากขึ้น ผมเลิกทำไปนานแล้ว แต่เล่าให้ฟังเพื่อเป็นข้อคิดว่า "อย่าสรุปว่าถ้า Gravity ต่ำแล้วจะขายไม่ได้"

Gravity คืออะไร?
แปลตรงๆก็แปลว่าแรงดึงดูด ถ้า gravity สูงก็คือมันมีแรงดึงดูดให้ Affiliate Marketers เข้ามาทำกันเยอะ แค่ค่า gravity มันอาจเป็นภาพลวงตาก็ได้ เพราะวิธีการคำนวณของมันใช้จำนวนผู้ขายเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ยอดขายเป็นตัวตั้ง ดังนั้นสินค้าที่มี Gravity 600 จริงๆแล้วอาจจะมียอดขายต่ำกว่าตัวที่มีค่า Gravity 400 ก็ได้

สมมุติ สินค้า Gravity 600 ยอดขายเฉลี่ยคนละหนึ่ง
แต่ สินค้า Gravity 400 ยอดขายเฉลี่ยคนละสอง
แสดงว่าสินค้าตัวที่สองมียอดขายจริงๆสูงกว่า
วิธีการคำนวณค่า Gravity ใช้ระบบ Weighted คือถ่วงน้ำหนัก ให้ความสำคัญกับการขายในระยะใกล้มากกว่าระยะไกล แล้วเอามาหาค่าเฉลี่ย
เช่น

สินค้า A มีผู้ขายได้ 10 คน ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เอาไปคนละ 1 คะแนน=10 คะแนน
ขายได้ 10 คน ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เอาไปคนละ 0.9 คะแนน=9 คะแนน
ขายได้ 10 คน ใน 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เอาไปคนละ 0.8 คะแนน=8 คะแนน
ขายได้ 10 คน ใน 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา เอาไปคนละ 0.7 คะแนน=7 คะแนน
คะแนนรวมทั้งหมด 34 แล้วเอามาหารด้วย 4 ค่า Gravity ของสินค้าตัวนี้คือ 8.5 อันนี้เป็นวิธีการคำนวณแบบคร่าวๆ จริงๆการให้คะแนนของเขาอาจจะต่างจากนี้ แต่หลักการอันเดียวกันคือให้น้ำหนักกับระยะใกล้มากกว่าระยะไกล จะเห็นได้ว่าเขาพูดถึงแต่จำนวนคนขาย ไม่ได้พูดถึงยอดขายเลย ค่า Gravity จึงไม่ใช่ตัววัดที่แท้จริงว่าสินค้าไหนจะขายดีกว่ากัน

เราจะดูได้อย่างไรว่าสินค้าไหนกำลังขายดี ?
นอกจากใน cbtrends.com แล้วอีกที่หนึ่งที่เราพอจะเดาทิศทางของสินค้าได้คือใน KeywordSpy.com พวกเราส่วนมากจะรู้จัก Spyfu.com และ KeywordSpy.com กันดี แต่ไม่รู้ว่าจะเอามันมาใช้ประโยชน์อย่างไร ยิ่งพอรู้ว่าต้องเสียตังค์ก็ไม่ค่อยอยากใช้ ที่จริง KeywordSpy เขาให้เราใช้ฟรีได้ตลอดชีพ แต่เวอร์ชั่นใช้ฟรีเขาให้เราดูได้แค่ยี่สิบรายการ ขณะที่เวอร์ชั่นเสียเงินดูได้ไม่จำกัด เราก็เอาเวอร์ชั่นฟรีก็พอแล้วครับ สมัครเป็นสมาชิก KeywordSpy แบบฟรีเสียก่อน เราอยากดู Keyword ไหนก็กรอกKeywordเข้าไปตรงช่อง Search มันก็จะขึ้นหน้าจอใหม่ขึ้นมา มีเมนู
Paid Keywords --Organic Keywords--Affiliate Keywords--Time Machine
เราคลิกที่ Affiliate Keywords ซึ่งค่า default ของมันคือ Clickbank อยู่แล้ว แต่เราจะเปลี่ยนเป็น Linkshare-Amazon-CJ ก็ได้ ในที่นี้เราจะดู Clickbank มันก็จะมีกราฟขึ้นมาด้านซ้ายมือ กับนิกเนมของ Super Affiliates ด้านขวามือ Super affiliates คือกลุ่มที่เอาโฆษณาไปลง Adwords กันมากที่สุด โดยวัดจากจำนวน Keywords (แกน Y) และ Products(แกนX) ถ้าเขาขายไม่ได้เขาจะทุ่มเงินกันมากมายเข้าไปทำโฆษณาทำไม เราก็คลิกไปที่นิกเนมของแต่ละคน เข้าไปดูว่าเขากำลังขายอะไรกันอยู่ ใช้ Keyword อะไร ใช้ถ้อยคำอะไรในโฆษณา เขาเป็น super affiliates ได้แสดงว่าเขาทำการบ้านมาเยอะ เราก็แอบดูของเขาบ้างจะเป็นไรไป ไม่ต้องไปลอกเขามา แต่เอามาเป็น guide ได้ว่าอะไรขายได้ขายไม่ได้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ผมเริ่มหยุดขาดทุนก็ด้วยวิธีนี้ หลังจากทำมั่วไปหมดจนขาดทุนติดต่อกันหลายเดือน ผมหยุดตั้งหลักแล้วเข้าไป research ใน KeywordSpy จนเริ่มเห็นแนวว่าจะไปอย่างไรต่อ จะจับตัวไหนดี ลองดูกันครับ อย่าเพิ่งท้อ มีทุนทำ Adwords ก็ทำไป ไม่มีทุนก็ทำ Article Submission ก็ได้ อาศัียความอดทนอย่างเดียว ผลลัพธ์เหลือเชื่อ

ที่มา: http://forums.sem.or.th/index.php/topic,17986.msg132799.html#msg132799

เริ่มต้นกับ Clickbank --- การทำ ppc กับ clickbank มีกฏคล้ายกับ amazon มั้ยครับ

กติกาไม่ต่างกันมาก แต่สินค้าหลายตัวในคลิกแบ๊ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว็บที่สอนวิธีดาวน์โหลด เกม เพลง หนัง PSP Wii อะไรพวกนี้ พี่แอ๊ดเขาไม่ให้โฆษณา เขาอาจจะถือว่ามันหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดลิขสิทธ์ เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องในภายหลัง ส่วนของพี่ญา(ฮู)ก็คล้ายๆกัน บางทีลงให้สองวันแล้วระงับหมด ฉะนั้นไอ้พวกดาวน์โหลดเพลง เกม หนัง อะไรนี่อย่าไปยุ่งดีกว่า Refund สูงมาก บางเจ้าถึง 50% หลอกให้ดีใจอยู่สองสามอาทิตย์ว่าได้ตังค์ เผลอเดี๋ยวเดียวขอตังค์คืนกันเกือบหมด สองร้อยเหรียญหายไปในพริบตา

กฏไม่ต่างกันก็จริง แต่วิธีการขายเพื่อให้ได้ตังค์ต่างกันมาก คนที่เจ็บตัวกับ Clickbank เพราะเอาวิธีการที่เคยใช้ได้ผลกับ Amazon มาใช้ ซึ่งข้อแตกต่างมันมีเยอะ เพราะสินค้ามันคนละแบบกัน

ขอสรุปย่อๆในน้องๆเอาไปเป็นแนวคิดนิดๆหน่อยๆ
1) เวลาทำ Amazon คุณเลือกจำเพาะเจาะจงประเทศใดประเทศหนึ่ง เมกาก็เมกา แคนาดาก็แคนาดา แต่ของ Clickbank เป็นสินค้าดิจิตอล เป็น ebook หรือซอฟท์แวร์ที่ดาวน์โหลดทันทีได้ทั่้วโลก มันไม่มีพรมแดน ถ้าคุณจำกัดว่าโฆษณาในอเมริกาเท่านั้น เท่ากับปิดกั้นโอกาสของตัวเอง ทุกประเทศมีคนที่มีการศึกษาสูงและรู้ภาษาอังกฤษดีอยู่กลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้มีกำลังซื้อ ผมเคยขายโปรแกรมซื้อขายเงินตราอัตโนมัติให้คนในรัสเซีย ขายคู่มือเลี้ยงหมาในลูกค้าในเม็กซิโก คู่มือเล่นกล้ามให้คนในสิงคโปร์ อย่าปิดโอกาสทางการค้าของเรา ถ้ากลัวว่าตั้งค่าให้โฆษณาทั่วโลกแล้วคลิกจะเยอะเกินไป ก็เอาแค่ประเทศหลักๆที่ใช้ภาษาอังกฤษก็ได้ เช่น อเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ยุโรปหลายประเทศก็ใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย เช่น สวีเด็น คนฟิลิปปินส์ อินเดีย และ สิงคโปร์ก็ใช้ภาษาอังกฤษ มีอีกหลายประเทศเล็กๆที่ใช้ภาษาอังกฤษกันคล่องแคล่ว ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจอเมริกาแย่ แต่บางประเทศยังโอเคอยู่นะ กำลังซื้อยังมี ล่าสุดนี่ผมไ้ด้มาสดๆร้อนๆจากโรมาเนีย $48

2) Keyword ที่ใช้ขายสินค้าใน amazon มันแคบอยู่ไม่กี่คำ ใช้ชื่อยี่ห้อ ใส่รุ่น ใส่คำว่า sale, cheap, buy, best price, low price พ่วงหน้าพ่วงหลังเข้าไป สัก 30-40 คลิกก็ขายได้แล้ว ส่่วนจะได้กำไรหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราบิดสูงแค่ไหน แต่สินค้า Clickbank ทำวิธีนี้ไม่ได้ผล ความเป็นไปได้ของ keyword มีมากมายมหาศาล keyword ที่ขายได้มักจะขึ้นด้วยคำว่า how to, how to deal with, dealing with, how can I , how do I ทำนองนี้
มีน้องคนหนึ่งถามผมมาเป็นการส่วนตัวดังนี้ "ในการทำโฆษณาใน clickbank เราจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องมือในการหา kw หรือเปล่าครับ ถ้าจำเป็นหรือควรต้องใช้ พอจะแนะนำโปรแกรม keyword tool โปรแกรมต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางจะเป็นความกรุณามากเลยครับ" ผมตอบไปหลายคนแล้วด้วยคำถามแบบเดียวกัน จึงทราบว่าน้องๆหลายคนยังไม่รู้จริงๆ เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้อื่น จึงขอคัดลอกมาใส่ไว้ตรงนี้--
" สินค้าใน Clickbank ส่วนมากเจ้าของเว็บเขาจะเตรียม Keyword ไว้ให้เราแล้ว เกือบทุกเว็บจะทำแบบนี้ บางทีก็เตรียมตัวอย่างโฆษณาหรือวิธีโปรโมทไว้ให้แล้ว ยิ่งเว็บดังๆจะเตรียมการไว้ให้เราเกือบทุกอย่าง ไม่ต้องไปคิดเอง หาเอง เข้าไปที่เว็บที่เราต้องการโปรโมท แล้วมองหาคำว่า affiliates เล็กๆข้างล่างสุด เข้าไปดูเลยว่าเขาเตรียมอะไรให้เราบ้าง บางที่ก็ต้องลงทะเบียนก่อน แล้วเขาจะแจ้งรหัสมาทาง email ถึงจะเข้าไปดูได้ บางที่เขาก็บอกเอาไว้ตรงหน้า Marketplace ที่เขาใช้โปรโมทสินค้าของเขา สังเกตตรงบรรทัดที่ 3-4 จะมี link ตรงไปหน้านี้ เขาเตรียมมาให้หมด บางเจ้่าให้เว็บไซท์ฟรี มี Review สินค้ามาให้เสร็จ ดาวน์โหลดมาใช้ได้เลย บางเจ้าแถม ebook สอนวิธีทำมาให้ ผมดาวน์โหลดมาจากหลายเว็บแล้ว ได้คู่มือสารพัดอย่างมาเป็น 100 เล่มแล้ว ทุกอย่างฟรีหมดครับ เขาอยากให้เราโปรโมทเขา เมืื่อเราได้ตังค์ เขาก็ได้ตังค์"

3) การใช้ Landing Page ได้ผลกว่า Direct Link หลายเท่า ถ้าเรามีหน้า review สินค้า เอาสินค้าคล้ายๆกัน 4 อย่างมารวมกันบนหน้าเดียว เราจ่ายค่้าคลิกครั้งเดียวแต่ลูกค้าวนไปวนมาอยู่บนเว็บเรา เท่ากับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสี่ตัว ถ้าจ่ายค่าคลิกให้พี่แอ๊ด(เวิร์ด) 0.40 หารด้วยสี่ก็เท่ากับเหลือแค่ 0.10 ต่อสินค้า ถ้าทำ landing page ไม่เป็น เขียน review ไม่เป็น ก็ค้นดูใน Clickbank นั่นแหละ มันมีเว็บที่รับเขียน Review และ ทำ Landing Page ให้ จ่ายเป็นรายเดือน แต่ของผมนี่ไม่เคยเสียตังค์ ใช้วิธีตัดต่อพันธุกรรม ค้นหารีวิวจากหลายๆเจ้า เอาของเจ้าโน้นมาท่อนหนึ่ง เจ้านี้มาท่อนหนึ่ง ปนกันไปปนกันมา เอาดิกมาเปิดหาคำ synonym เปลี่ยนคำนั้นเป็นคำอื่นที่ความหมายพ้องกัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาครึ่งชั่วโมงได้แล้วครับ 1 review พอโหลดขึ้นเว็บ แค่สามคลิกขายได้เลย ส่วน Landing Page ก็ก๊อปเขามา Edit >Save As>Web Page โหลดมาทั้งดุ้น แล้วเอา Photoshop แปลงตรงโน้นแปลงตรงนี้ สักพักก็ไม่เหมือนของเขาแล้ว ตัดต่อพันธุกรรมสำเร็จอีกแล้ว

4) สินค้าที่ถูกมองข้ามมีเยอะ พวกเราไปตะกุยตะกายต่อสู้กันเพื่อแย่งขายสินค้าที่อยู่อันดับต้นๆในแต่ละ Category ซึ่งบิดกันสูงมาก บางตัวคลิกละ 3-4 ดอลลาร์ก็มี แต่รู้ไหมว่าสินค้าบางตัวที่อยู่อันดับลึกๆ ไม่มีคู่แข่งเลย แต่มัีนก็มีลูกค้าของมันอยู่ เชื่อไหมว่าเว็บไซท์ที่เกี่ยวกับแม่มดพ่อมดก็มีนะ และมันขายได้ด้วย

5) มันเป็นธรรมชาติมนุษย์ที่ไม่ชอบเสียตังค์ให้คนอื่น ลูกค้าส่วนใหญ่เขาฉลาดครับ พอเขามองเห็นบนหน้า Landing Page ของเราว่าเป็น affiliate link เช่น hxxp://zzzzz.nononsense.clickbank.com เขาจะไม่ยอมคลิก บางครั้งเราก็ต้องซ่อน link พวกนี้ไว้ด้วยวิธี cloaking แปลงลิ๊งค์ให้เป้นตัวอื่นที่ลูกค้าจำไม่ได้ แบบที่ใช้ฟรีก็มี เช่น tinyurl.com, shorturl.com, shrinkmylink.com, url123.com แบบเสียตังค์ก็มี ที่เสียตัีงค์จะแปลงได้เนียนกว่า บางคนก็ใช้วิธี Redirect มันมีหลายวิธีครับที่จะซ่อนลิ๊งค์ได้ ไปศึกษาเพิ่มเติมดู ผมคงไม่มีเวลาอธิบายหมด

6) ธรรมชาติมนุษย์ชอบของแจกของแถม สมมุติว่า Landing Page นายAขายคู่มือรักษาริสีดวงโดยวิธีธรรมชาติ(มีขายในClickbankจริงๆ) แต่ซื้อแล้วไม่แถมอะไรเลย ส่วน Landing Page นาย B ขายคู่มือริดสีดวงเหมือนกัน แต่ถ้าซื้อจากตรงนี้ แล้วส่งเลขที่ใบเสร็จมา นายบีจะแถม eBook เกี่ยวกับสุขภาพมูลค่ารวม 200 เหรียญ ฟรี 7 เล่ม คุณคิดว่าของใครจะขายได้ ที่จริงนายบีซื้อ eBook มาเล่มละสองเหรียญ แต่ eBook พวกนี่ มี Resale Right คือเอาไปขายต่อได้ไม่จำกัดครั้ง (ในคลิกแบ๊งมี เว็บอื่นก็มี ) เอาไปแจกต่อก็ไ้ด้ ซื้อมาเจ็ดเล่ม 14 เหรียญ เอาไปแจกต่อร้อยครั้งก็ต้นทุนสิบสี่เหรียญเท่าเดิม แต่เปลี่ยนสถานะจากที่ขายไม่ได้เป็นขายได้ขึ้นมาทันที คุณจะเอาแบบไหน
อีกวิธีคือ Rebate คืนตังค์ให้ลูกค้า ถ้าซื้อจาก Landing Page ของเรา เราคืนตังค์ให้ วิธีนี้ต้องใช้กับซอฟท์แวร์ที่จ่ายค่าคอมสูงๆ เช่น KeywordElite ตอนออกใหม่ๆขายดีมาก ตอนนี้ใครไปจับมีแต่เจ๊งเช่นเดียวกับTattoo แต่นี่เอามาเป็นตัวอย่าง เพราะค่าคอมมันสูงถึง $97 นักการตลาดที่มีไหวพริบดีก็เสนอคืนเงินให้ลูกค้า $50 (ข้าเก็บไว้ $47 ก็ยังรวย ฮ่า ฮ่า) ลองคิดดูเจ้าหนึ่ง Conversion 2% ไอ้เจ้านี้ Conversion 17% ถึงคืนเงินก็ยังเหลือตังค์มากกว่าอยู่ดี แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดคือใช้กับสินค้าที่ค่าคอมสูงเท่านั้น และต้องรอ 60 วันถึงจะคืนตังค์ ถ้าคืนทันที ลูกค้าขอ Rebate แล้วขอ Refund ซ้ำอีก กระอักเลือดแน่

7) SEO ด้วยวิธี Article Submission ใช้กับ Amazon ไม่ค่อยได้ผล แต่กับ ClickBank ได้ผลมากๆ เรียกว่าสุดยอดจริงๆ คือเขียนบทความไปลงตาม Article directories ต่างๆ เช่น ezineArticles.com, Goarticles.com ตัวเจ๋งๆแรงๆคือสองตัวนี้ แต่มีเจ้าอื่นเป็นร้อยๆ ลองค้นหาดู คือเราส่งบทความไปลงแล้วฝากลิ๊งค์กลับมายัง Landing Page ของเรา traffic มันมาเอง โดยไม่ต้องเสียตังค์
และถ้าเราไปป่าวประกาศถึงบทความของเราใน Twitter.com ด้วย traffic จะทะลักมาเหมือนแม่น้ำ ใครยังใช้ Twitter ให้เป็นประโยชน์ทางการตลาดไปเป็น ต้องไปรีบศึกษาด่วน ไม่เช่นนั้นจะก้าวตามเขาไม่ทันแน่นอน ขอยืนยันว่า Twitter จะมาแรงที่สุดในปีนี้
ถ้าท่านที่เขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษไม่เป็น มันก็มีวิธีอีกนั่้นแหละครับ มีเว็บที่รับจ้างเขียนบทความมากมายบนโลกไซเบอร์ ลองดูที่ elance.com ก็ได้ เว็บอื่นก็มีแยะเป็นร้อยเป็นพัน บทความละเหรียญสองเหรียญเอง คนเขียนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยในอินเดีย ค่าครองชีพในอินเดียนั้น เหรียญสองเหรียญก็เลิศแล้วครับกับการทำงานแค่หนึ่งชั่วโมง นอกจากนั้นก็ยังมีซอฟท์แวร์ที่มันจะเขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษให้เราเอง แต่แพงหน่อยครับ ต้องจ่้ายเป็นรายเดือน ดูเหมือนจะชื่อ article wizard pro มีขายใน Clickbank นั่นแหละ มันแพง แต่ถ้าจะทำอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เอาเงินเอาทองจากคลิกแบ๊งวันละสามสี่ร้อยเหรียญจริงๆก็คุ้ม เพราะเราส่งบทความไปแล้วลูกค้ามาเอง เราไปไม่ต้องเสียตังค์ให้พี่แอ๊ดกับพี่ญาไปอีกตลอดชีวิต
ตอนนี้ผมใช้วิธีนี้ แต่ไม่ได้จ่ายตังค์ให้นักศึกษาอินเดียหรือซื้อซอฟท์แวร์พวกนี้หรอก ใช้วิธีตัดต่อพันธุกรรมเหมือนเดิม สมมุติจะขายคู่มือนักกล้าม ผมก็ search หาบทความที่เนื้อหาเกี่ยวกับนักกล้ามมาสักสี่ห้าอัน เอาท่อนโน้นมาปนท่อนนี้ ตัดต่อกันไปมาสักครึ่งชั่วโมง เปลี่ยนคำโน้นเปลี่ยนคำนี้ มันไม่เหมือนของเดิืมอีกเลย ส่งไปเขาก็ลงให้ และมีคลิกมาตลอด และขายได้ซะด้วย
ที่จริงมันก็ยังมีอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับ Clickbank ที่อยากเล่า แต่วันนี้ขอพักก่อน ถ้ามีเวลาจะมาเพิ่มเติมใหม่ รู้สึกเห็นใจน้องๆและเพื่อนๆที่เข้ามาใหม่แล้วขายไม่ได้ เจอแต่คลิกเป็นร้อยเป็นพัน ไม่มีเม็ดเงินเข้ามาเลย เขียนมาถามผมเป็นการส่วนตัวหลายคน ผมตอบแล้วตอบอีกจนเหนื่อย เลบมาเขียนตรงนี้ดีกว่า คนอื่นจะได้อ่านด้วย

ข้อมูลในเว็บนี้ที่เกี่ยวกับคลิกแบ๊งก็ค่อนข้างน้อย ผมเองต้องสะเปะสะปะด้วยตนเองอยู่หนึ่งปีถึงจะเริ่มขายได้ ปีแรกขาดทุนยับ ปีที่สองพอขายได้บ้างครับ ไม่เยอะแต่ก็พอได้ครับ คลิกแบ๊งขายยาก วิธีการซับซ้อน แต่พอได้แต่ละทียิ้มออกครับ ถ้าเรารู้วิถีทางของมันแล้วกินไปอีกนาน สู้ๆครับพี่น้อง