ขอเพิ่มอีกนิดหนึ่งเรื่องการหาสินค้า
ไม่ว่าจะทำ Amazon หรือ Clickbank คำถามแรกที่เรามักจะถามตัวเองคือ "จะขายอะไรดี" มันมีสองแนวทางคือ ไปตามกระแส เลือกสินค้าที่อยู่อันดับต้นๆ ของแต่ละ category แล้วเข้าำไปบิดสู้กับเขา ซึ่งส่วนมากมักจะเจ็บตัวกลับมา เพราะเจ้าที่เขาไม่ยอมให้สอดแทรกเข้าไปง่ายๆ
อีกวิธีคือหาสินค้าที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ซุกซ่อนอยู่ตามซอกตามหลืบ ขาดคนเหลียวแล ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ Harry Potter ยังแรงอยู่ ผมสงสัยว่ามันจะมีเว็บไซท์เกี่ยวกับพ่อมดหมอผีหรือเปล่า ลอง Search เข้าไปดู จ๊ะเอ๋เข้าเว็บหนึ่งอยู่อันดับที่ร้อยกว่า มันเป็นที่รวบรวมเรื่องราวของพ่อมด ไสยเวทย์ มนต์ดำ แต่ gravity มันแค่ 1 เรียกว่าไม่มีใครสนใจจะโปรโมทเลย ผมเลยลองทำดู พบว่าแทบไม่มีคู่แข่งเลย โฆษณาของ Adwords มีอยู่สามอัน ผมจ่ายคลิกละ 0.03 อยู่อันดับสาม ทุกหนึ่งเหรียญที่จ่ายไปได้กลับมาสิบห้าเหรียญ อิ่มหมีพีมันไปพักหนึ่ง ตอนนี้ Harry Potter ไม่ค่อยดังแล้ว และ gravity มันขึ้นไปถึง 15 คู่แข่งมากขึ้น ผมเลิกทำไปนานแล้ว แต่เล่าให้ฟังเพื่อเป็นข้อคิดว่า "อย่าสรุปว่าถ้า Gravity ต่ำแล้วจะขายไม่ได้"
Gravity คืออะไร?
แปลตรงๆก็แปลว่าแรงดึงดูด ถ้า gravity สูงก็คือมันมีแรงดึงดูดให้ Affiliate Marketers เข้ามาทำกันเยอะ แค่ค่า gravity มันอาจเป็นภาพลวงตาก็ได้ เพราะวิธีการคำนวณของมันใช้จำนวนผู้ขายเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ยอดขายเป็นตัวตั้ง ดังนั้นสินค้าที่มี Gravity 600 จริงๆแล้วอาจจะมียอดขายต่ำกว่าตัวที่มีค่า Gravity 400 ก็ได้
สมมุติ สินค้า Gravity 600 ยอดขายเฉลี่ยคนละหนึ่ง
แต่ สินค้า Gravity 400 ยอดขายเฉลี่ยคนละสอง
แสดงว่าสินค้าตัวที่สองมียอดขายจริงๆสูงกว่า
วิธีการคำนวณค่า Gravity ใช้ระบบ Weighted คือถ่วงน้ำหนัก ให้ความสำคัญกับการขายในระยะใกล้มากกว่าระยะไกล แล้วเอามาหาค่าเฉลี่ย
เช่น
สินค้า A มีผู้ขายได้ 10 คน ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เอาไปคนละ 1 คะแนน=10 คะแนน
ขายได้ 10 คน ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เอาไปคนละ 0.9 คะแนน=9 คะแนน
ขายได้ 10 คน ใน 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เอาไปคนละ 0.8 คะแนน=8 คะแนน
ขายได้ 10 คน ใน 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา เอาไปคนละ 0.7 คะแนน=7 คะแนน
คะแนนรวมทั้งหมด 34 แล้วเอามาหารด้วย 4 ค่า Gravity ของสินค้าตัวนี้คือ 8.5 อันนี้เป็นวิธีการคำนวณแบบคร่าวๆ จริงๆการให้คะแนนของเขาอาจจะต่างจากนี้ แต่หลักการอันเดียวกันคือให้น้ำหนักกับระยะใกล้มากกว่าระยะไกล จะเห็นได้ว่าเขาพูดถึงแต่จำนวนคนขาย ไม่ได้พูดถึงยอดขายเลย ค่า Gravity จึงไม่ใช่ตัววัดที่แท้จริงว่าสินค้าไหนจะขายดีกว่ากัน
เราจะดูได้อย่างไรว่าสินค้าไหนกำลังขายดี ?
นอกจากใน cbtrends.com แล้วอีกที่หนึ่งที่เราพอจะเดาทิศทางของสินค้าได้คือใน KeywordSpy.com พวกเราส่วนมากจะรู้จัก Spyfu.com และ KeywordSpy.com กันดี แต่ไม่รู้ว่าจะเอามันมาใช้ประโยชน์อย่างไร ยิ่งพอรู้ว่าต้องเสียตังค์ก็ไม่ค่อยอยากใช้ ที่จริง KeywordSpy เขาให้เราใช้ฟรีได้ตลอดชีพ แต่เวอร์ชั่นใช้ฟรีเขาให้เราดูได้แค่ยี่สิบรายการ ขณะที่เวอร์ชั่นเสียเงินดูได้ไม่จำกัด เราก็เอาเวอร์ชั่นฟรีก็พอแล้วครับ สมัครเป็นสมาชิก KeywordSpy แบบฟรีเสียก่อน เราอยากดู Keyword ไหนก็กรอกKeywordเข้าไปตรงช่อง Search มันก็จะขึ้นหน้าจอใหม่ขึ้นมา มีเมนู
Paid Keywords --Organic Keywords--Affiliate Keywords--Time Machine
เราคลิกที่ Affiliate Keywords ซึ่งค่า default ของมันคือ Clickbank อยู่แล้ว แต่เราจะเปลี่ยนเป็น Linkshare-Amazon-CJ ก็ได้ ในที่นี้เราจะดู Clickbank มันก็จะมีกราฟขึ้นมาด้านซ้ายมือ กับนิกเนมของ Super Affiliates ด้านขวามือ Super affiliates คือกลุ่มที่เอาโฆษณาไปลง Adwords กันมากที่สุด โดยวัดจากจำนวน Keywords (แกน Y) และ Products(แกนX) ถ้าเขาขายไม่ได้เขาจะทุ่มเงินกันมากมายเข้าไปทำโฆษณาทำไม เราก็คลิกไปที่นิกเนมของแต่ละคน เข้าไปดูว่าเขากำลังขายอะไรกันอยู่ ใช้ Keyword อะไร ใช้ถ้อยคำอะไรในโฆษณา เขาเป็น super affiliates ได้แสดงว่าเขาทำการบ้านมาเยอะ เราก็แอบดูของเขาบ้างจะเป็นไรไป ไม่ต้องไปลอกเขามา แต่เอามาเป็น guide ได้ว่าอะไรขายได้ขายไม่ได้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ผมเริ่มหยุดขาดทุนก็ด้วยวิธีนี้ หลังจากทำมั่วไปหมดจนขาดทุนติดต่อกันหลายเดือน ผมหยุดตั้งหลักแล้วเข้าไป research ใน KeywordSpy จนเริ่มเห็นแนวว่าจะไปอย่างไรต่อ จะจับตัวไหนดี ลองดูกันครับ อย่าเพิ่งท้อ มีทุนทำ Adwords ก็ทำไป ไม่มีทุนก็ทำ Article Submission ก็ได้ อาศัียความอดทนอย่างเดียว ผลลัพธ์เหลือเชื่อ
ที่มา: http://forums.sem.or.th/index.php/topic,17986.msg132799.html#msg132799
No comments:
Post a Comment